บช.น.สั่งห้ามตำรวจลาในช่วงเทศกาลปีใหม่

19/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 18 ธ.ค.2557

ผบช.น.มีคำสั่งให้ตำรวจในสังกัดงดการลาในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค. - 5 ม.ค. โดยให้ผู้บังคับบัญชาในแต่ละระดับชั้นตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่เวรยาม อย่าให้เกิดข้อบกพร่องโดยเด็ดขาด

วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) มีรายงานว่า พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. มีหนังสือกำชับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2558 โดยกำชับให้เจ้าหน้าที่ในสังกัด บช.น. เช่น ผบก.อก. ผบก.น.1-9 สปพ. อคฝ. ผบก.ประจำ บช.น. ผบก.ดส. และ ศฝร.เป็นต้น โดยปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ระหว่างวันที่ 31 ธ.ค. 57 - 4 ม.ค. 58 ซึ่งวันดังกล่าวเป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลอง ประชาชนเดินทางออกต่างจังหวัด หรือมีการจัดเทศกาลปีใหม่ในหลายพื้นที่ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีเจ้าหน้าที่คอยปฏิบัติหน้าที่และคอยควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินได้ทันที

ทั้งนี้ ได้กำหนดข้อปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ๆจะต้องเพิ่มมาตราการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และจะต้องให้ผู้บังคับบัญชาสามารถตรวจสอบและควบคุมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าหน้าที่ได้ทุกระดับ ดังนี้ 

1. ให้ข้าราชการตำรวจทุกระดับงดการลาในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 57 - 5 ม.ค. 58 ยกเว้นมีความจำเป็นอย่างแท้จริง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาลำดับชั้นพิจารณาโดยละเอียดถี่ถ้วน ทั้งนี้ต้องไม่เสียหายแก่ทางราชการ และมีความเห็นนำเสนอ ผบก.พิจารณาอนุญาตเป็นรายไป 

2. สำหรับข้าราชการตำรวจระดับ ผกก.ขึ้นไปทุกนาย ให้เสนอขออนุญาตมายัง บช.น.เป็นผู้พิจารณาโดยตรง 

ส่วนข้าราชการตำรวจระดับรอง ผกก.ลงมาในสังกัด กก.ดส. และ ศฝร. ให้เสนอขออนุญาตยัง บช.น.ผ่านรอง ผบช.น. (บร 1) เป็นผู้พิจารณาอนุญาตเป็นรายไป 

3. ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นในแต่ละหน่วยงานและสายงาน ให้ออกปฏิบัติหน้าที่และตรวจสอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจในความรับผิดชอบ โดยเพิ่มความเข้มของการปฏิบัติในช่วงเวลาดังกล่าว และ 

4. สำหรับหน่วยงานด้านธุรการหรืออำนวยการ แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 

4.1 กรณีการจัดหน้าที่เวรยามประจำสถานที่ราชการหรือเวรยามต่างๆ ตามระเบียบให้สามารถสนันสนุนการปฏิบัติของหน่วยปฏิบัติได้โดยตลอด และให้แต่ละหน่วยจัดผู้รับผิดชอบแต่ละวัน ในช่วงวันหยุดดังกล่าว ผลัดเปลื่อนหมุนเวียนเพื่อรับผิดชอบ กรณีมีงานพิเศษเร่งด่วนที่จำเป็นต้องดำเนินการก็ให้สามารถติดต่อมาปฏิบัติงานพิเศษเร่งด่วนดังกล่าวได้ทันที โดยให้จัดรายชื่อผู้รับผิดชอบในแต่ละวัน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อได้ไว้ที่เวรประจำสถานที่ราชการของแต่ละหน่วย และ 

4.2 ให้ผู้บังคับบัญชาของแต่ละระดับชั้น ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่เวรยามดังกล่าวอย่าให้เกิดข้อบกพร่องโดยเด็ดขาด
Read more ...

ลงนามความร่วมมือโครงการ Police Help Me ปุ่มนาทีชีวิต หรือ“PUSH FOR LIFE”

16/12/57
โดยตระเวนข่าว เมื่อ 16 ธ.ค.2557

สตช.-บชน.-CPN-กทม. ร่วมพิธีลงนามความร่วมมือในโครงการ “Police Help Me ปุ่มนาทีชีวิต หรือ PUSH FOR LIFE” เพื่อเป็นอีก 1 ช่องทางในการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม

วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่บริเวณลานเอนกประสงค์ เซ็นทรัลเวิลด์สแควร์อี ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ พลตำรวจเอก เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พลตำรวจตรี ฉันทวิทย์ รามสูต รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ สิทธิชัย ท้วมสกนธ์ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน พร้อมด้วยปรีชา เอกคุณกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) และ ปณิดา สุขศรีดากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ร่วมลงนามความร่วมมือใน “โครงการ Police Help Me ปุ่มนาทีชีวิต หรือ PUSH FOR LIFE” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มช่องทางในการแจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม อันเป็นการสร้างความรู้สึกปลอดภัยและพึงพอใจให้กับประชาชน ด้วยการติดตั้งจุดแจ้งเหตุด่วน หรือ Call Point หน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา และ เซ็นทรัลเฟสติวัล ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้น 8 สาขา และตั้งเป้าขยายขอบเขตการดำเนินงานให้ครอบคลุมทุกสาขาทั่วเขตพื้นที่

นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)หรือ ซีพีเอ็นกล่าวว่า“ซีพีเอ็น ในฐานะภาคส่วนเอกชน รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงนามความร่วมมือในโครงการ Police Help Me ปุ่มนาทีชีวิต หรือ PUSH FOR LIFE ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ,กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกรุงเทพมหานคร อันเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินแก่ประชาชนชาวกรุงเทพฯ รวมถึงนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติซึ่งมาใช้บริการทั้งด้านในและด้านนอกซึ่งยังหมายรวมถึงผู้ที่สัญจรบริเวณใกล้เคียงศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัลพลาซา และ เซ็นทรัลเฟสติวัลโดยโครงการนี้ยังเป็นการเพิ่มช่องทางและเพิ่มศักยภาพในการดูแลรักษาความปลอดภัยร่วมกับภาครัฐอย่างเต็มรูปแบบและเป็นทางการเป็นครั้งแรกของศูนย์การค้าในเขตใจกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร เชื่อว่า ความมุ่งมั่นและตั้งใจของ ซีพีเอ็นจะสามารถทำให้ลูกค้า ประชาชนทั่วไป รวมถึงนักท่องเที่ยว เกิดความรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยเมื่อได้มาใช้บริการในศูนย์การค้าและพื้นที่โดยรอบ”

ด้าน นางปณิดา สุขศรีดากุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานปฏิบัติการบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็นเสริมว่า “ซีพีเอ็น ได้เข้าร่วมโครงการเพื่อติดตั้งจุดรับแจ้งเหตุด่วนหน้าศูนย์การค้ารวมจำนวนทั้งสิ้น 8 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ,เซ็นทรัลพลาซาปิ่นเกล้า ,เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9, เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2, เซ็นทรัลพลาซา พระราม 3, เซ็นทรัลพลาซาบางนาและรามอินทรา และมีแผนในการขยายการดำเนินงานให้ครอบคลุมทุกสาขาทั่วกรุงเทพฯในอนาคต โดยตลอดมาซีพีเอ็นได้มีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยทั้งภายในและโดยรอบศูนย์การค้าอย่างมีระบบมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วศูนย์การค้าและลานจอดรถ การตรวจบัตรผ่านเข้าออก รวมถึงมีการมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยครอบคลุมประจำอยู่ในทุกจุดทุกชั้นรวมถึงบริเวณด้านนอกศูนย์การค้า นอกจากนี้ยังมีระบบส่งสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือในลานจอดรถในกรณีต่างๆ”

พลตำรวจเอก เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงโครงการดังกล่าวว่า “โครงการนี้เป็นความตั้งใจของตำรวจในการช่วยอำนวยความสะดวกกับประชาชน ในการติดต่อสื่อสารเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีมีเหตุเร่งด่วน โดยมุ่งหวังให้โครงการนี้ เป็นเสมือนสัญลักษณ์ที่สื่อให้ประชาชนเข้าใจว่า จุดดังกล่าวเป็นจุดให้บริการเพื่อขอความช่วยเหลือเสมือนตำรวจคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ ๆ โดยทางตำรวจรู้สึกขอบคุณซีพีเอ็นที่เล็งเห็นความตั้งใจของทางตำรวจ และสนับสนุนโครงการดังกล่าว ทำให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมและเกิดประโยชน์ในวงกว้างเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นความร่วมมืออย่างเป็นทางการภายใต้โครงการดังกล่าว โดยคาดว่าจะสามารถลดความรุนแรงของอาชญากรรมในบริเวณนั้น ๆ อ้างอิงจากผลสำรวจของคดีอาญาในพื้นที่ที่มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติและสามารถช่วยให้ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ใกล้เคียงสามารถให้การช่วยเหลือผู้ประสบเหตุอย่างรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งยังช่วยให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัยและเกิดความพึงพอใจต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย” .

พลตำรวจตรี ฉันทวิทย์ รามสูต รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังได้กล่าวเสริมว่า “จุดแจ้งเหตุด่วนหรือ Call Point จะติดตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าศูนย์การค้าในเขตพื้นที่ชุมนุมชนอย่างป้ายรถเมล์หรือทางเท้า และด้วยความสูงกว่า 3 เมตรของป้าย ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือจะสามารถสังเกตเห็นป้ายได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังมีวิธีการทำงานที่ไม่ซับซ้อนโดยเมื่อผู้ประสบเหตุต้องการขอความช่วยเหลือ หรือต้องการแจ้งเหตุร้ายเพียงกดปุ่มสีแดงเพียงปุ่มเดียวระบบจะทำการส่งสัญญาณอัตโนมัติอย่างต่อเนื่องไปยังวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ใกล้บริเวณและใช้เวลาเพียง 5-10 นาทีเพื่อรอรับการช่วยเหลือจากตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุดโดยอุปกรณ์จะหยุดทำงานเมื่อตำรวจมายังจุดเกิดเหตุและทำการปิดระบบ อย่างไรก็ดีการกดปุ่มดังกล่าวโดยไม่มีเหตุจำเป็น ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและมีโทษทางอาญา”

โครงการ Police Help Me ปุ่มนาทีชีวิต – PUSH FOR LIFE นับเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อสาธารณะประโยชน์โดยตั้งเป้าการดำเนินการให้ครอบคลุมในศูนย์การค้าทุกสาขาภายใต้การบริหารงานของซีพีเอ็นในเขตกรุงเทพมหานครและหวังเป็นแบบอย่างที่ดีในการดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ทางสังคมเพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างแท้จริง
Read more ...

ตร.มหาชัย-ตั้งศูนย์สาครธานี"ป้อมตำรวจCPOบริการชุมชน"

16/12/57
โดยเนชั่น เมื่อ 16 ธ.ค.2557

พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร ผู้บังคับการตำรวจภูธร (ผบก.) จังหวัดสมุทรสาคร ร่วมกับ คณะกรรมการตำรวจ สภ.เมืองสมุทรสาคร (ก.ตร.สภ.เมืองฯ) พร้อมด้วย นายเรียน หงษ์คู นายกเทศมนตรีตำบางหญ้าแพรก อ.เมืองฯ ได้นำพ่อค้าประชาชนร่วมกันเปิดศูนย์บริการประชาชน ที่เส้นทางหน้าหมู่บ้านสาครบุรี) ถ.มหาชัย -สหกรณ์ ต.บางหญ้าแพรก อ.เมืองฯ โดยมี พ.ต.ท.ทรงศักดิ์ แก้วพลน้อย รอง ผกก.สภ.เมืองสมุทรสาคร ฐานะตัวแทนสถานี ฐานะกล่าวรายงานให้การต้อนรับ พล.ต.ต.ชนาภัทร เชยสมบัติ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 หลังเข้าร่วมเป็นประธานเปิด ศูนย์บริการประชาชนชุมชนสาครบุรี CPO เพื่อร่วมดูแลป้องกันและแก้ปัญหาอาชญากรรมให้แก่ประชาชนในนามสถานีบริการ Community Policing ตามทฤษฎีของหลักการ Community Policing Office สำนักงานบริการชุมชนอย่างใกล้ชิดกับประชาชนเชิงปฏิบัติในทฤษฎี (CPO) นโยบายตำรวจภูธรภาค 7 โดยมีเป้าหมายให้ประสบผลสำเร็จและเป็นจริงต่อไป

พ.ต.ท.ทรงศักดิ์ รอง ผกก.สภ.เมืองฯ กล่าวว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ของสังคมโลกทั่วไปได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้าน เช่นเดียวกับ จ.สมุทรสาคร ส่งผลให้มีปัญหาต่างมากยิ่งขึ้น อาทิ เกิดปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็กและสตรีถูกล่วงละเมิดทางเพศ ขณะที่การป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเชิงตั้งรับโดยเน้นไล่จับกุมคนร้าย ทำให้ไม่สามารถป้องกันปัญหาได้อย่างสำเร็จเท่าที่ควร อย่างไรก็ตามจะอาศัยการบังคับใช้กฎหมายเป็นหลักควบคู่ในการดูแลแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนภายใต้ทฤษฎี Community Policing Office เป็นหลักในปฏิบัติงานหลังจากจัดตั้งศูนย์ประสานงานตำรวจ CPO เพื่อมีผลงานที่เป็นรูปธรรมต่อไป
Read more ...

ตร.กวดขันจับรถติดตั้งไซเรนผิด กม. ดีเดย์ 5 ม.ค.ปีหน้า ชี้โทษทั้งจำทั้งปรับ

16/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 16 ธ.ค.2557

บช.น.จัดประชุมกลุ่มบรรเทาสาธารณภัย กวดขันรถที่ติดตั้งไซเรนผิดกฎหมาย โดยจะเปิดโอกาสให้รถกู้ภัยต่างๆ ลงทะเบียน และเริ่มกวดขันจับกุมรถที่ยังไม่ละทะเบียน ในวันที่ 5 ม.ค. 58 ชี้รถที่ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำทั้งปรับ

วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.อดุลย์ ณรงค์ศักดิ์ รอง ผบช.น. พร้อมด้วยรอง ผบก.น.1-9 รอง ผบก.จร. ศูนย์เอราวัณ มูลนิธิร่วมกตัญญู และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง กำหนดแนวทางการติดสัญญาณไซเรน หรือไฟวับวาบ ว่าเบื้องต้นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งกวดขันการจับกุมรถบรรเทาสาธารณภัยที่ติดตั้งไซเรนผิดกฎหมาย โดยรถฉุกเฉินของมูลนิธิต่างๆ ที่ยังไม่ได้มาลงทะเบียนให้รีบมาลงทะเบียนทันที หากพบว่ามีรถที่ยังไม่ลงทะเบียน เจ้าหน้าที่จะทำการจับกุมและยึดไซเรนดังกล่าวไว้

ส่วนการประชุมหารือในวันนี้ ได้แบ่งรถบรรเทาสาธารณภัยไว้ 3 ประเภท คือ 1. รถกู้ชีพ มีหน้าที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ หรือประสบอุบัติเหตุ แล้วนำส่งโรงพยาบาล 2. รถกู้ภัย มีหน้าที่เคลื่อนย้ายผู้ป่วย หรือนำเครื่องมือต่างๆ เข้าช่วยเหลือ หากเกิดเหตุฉุกเฉิน และ 3. รถประเภทอื่นๆ มีหน้าที่เคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิต รถดังกล่าวจะอนุญาตให้ติดตั้งไซเรนและได้รับอภิสิทธิ์ในการขับรถที่ไม่ต้องคำนึงถึงกฎจราจร เบื้องต้นรถบรรเทาสาธารณะภัยที่มาลงทะเบียนและผ่านตรวจสอบประมาณ 200 คัน ทาง บช.น.และศูนย์เอราวัณจึงจะต้องดำเนินการร่วมกัน เพื่อกวดขันให้รถบรรเทาสาธารณะภัยเข้ามาลงทะเบียนอย่างถูกต้อง และสามารถช่วยเหลือประชาชนได้หากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ คาดว่าจะดำเนินการทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 57 นี้

พล.ต.ต.อดุลย์กล่าวว่า ขณะนี้ทาง บช.น.มีมติว่าจะยังไม่ดำเนินการจับกุมรถบรรเทาสาธารณภัยต่างๆ ที่ติดตั้งไซเรน และยังไม่ลงทะเบียน โดยจะเปิดโอกาสให้รถกู้ภัยต่างๆ ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งการลงทะเบียนในแต่ละครั้ง จะมีบัตรที่ระบุว่ารถดังกล่าวได้ลงทะเบียนและได้รับการอบรมจาก บช.น.แล้ว ทั้งนี้จะเริ่มจับกุมรถที่ยังไม่ละทะเบียนในวันที่ 5 ม.ค. 58 เป็นต้นไป หากพบเห็นรถที่ไม่มีใบอนุญาตจะดำเนินการจับปรับในอัตราโทษสูงที่สุด ซึ่งการติดตั้งสัญญาณไซเรนโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 กรณีขับรถในทางเดินรถโดยมีการใช้สัญญาณไฟวับวาบโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับ 500 บาท และยึดอุปกรณ์ไฟวับวาบ แต่หากมีการติดตั้งและเปิดสัญญาณไฟจะมีโทษปรับ 2,000-10,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.ต.อดุลย์กล่าวต่อว่า อยากให้รถกู้ภัยต่างๆลงทะเบียนให้ถูกต้อง เพื่อที่จะพัฒนาระบบการทำงาน และช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะรถกู้ภัยต่างๆ จะต้องอุปกรณ์การประถมพยาบาลหรือมีอุปกรณ์ช่วยเหลือในเบื้องต้นอย่างครบถ้วน ซึ่งทางอาสากู้ภัยต่างๆ จะต้องผ่านการอบรมตามมาตราฐานสากล และมีการลงทะเบียนอย่างถูกต้องอีกด้วย ส่วนกรณีที่อาสาสมัครกู้ภัยตามจุดต่างๆ ใช้วิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ได้กำหนดว่าจะดำเนินการขอช่องสัญญาณวิทยุสื่อสาร 4 ช่องสัญญาณจากคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อเป็นช่องทางการสื่อสารสำหรับเรื่องอุบัติเหตุต่างๆ
Read more ...

“พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผบ.ตร. กับการถือหุ้นในพอร์ตอสังหาฯ-สื่อสาร และ....!?

12/12/57
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

12 ธันวาคม 2557 12:13 น.

“พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผบ.ตร. กับการถือหุ้นในพอร์ตอสังหาฯ-สื่อสาร และ....!?

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในยุคสมัยที่กำลังก้าวสู่ AEC กำลังทำให้การแข่งขันในธุรกิจนี้ อยู่บนสังเวียนของการฟาดฟัน!! การจะสร้างอัตราเติบโต สร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่เหมือนสมัยรุ่นบุกเบิกอย่างเจ้าสัวคนดังอาจจะต้องใช้เวลานับหลายสิบปี แต่ในยุคแห่งกระแสทุน ตลาดทุน ตลาดเงินได้เปิดกว้าง และโอกาสในการสร้างธุรกิจให้เติบใหญ่ เพียงแค่ชั่วข้ามคืนก็มีสินทรัพย์ได้เป็นหมื่นล้าน แสนล้านบาท!! และสิ่งที่จะเห็นจากนี้ การเทกโอเวอร์กิจการจะเป็นเรื่องที่เห็นบ่อย และถี่มากขึ้น

แต่วิธีการเข้าไปบริหารธุรกิจแบบครอบงำแล้ว หนึ่งในนั้น คือ การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง จะเรียกว่า เป็นการเสริมพันธมิตรทางธุรกิจที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ขององค์กรได้...
และจะว่าไปแล้ว เคสของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน บริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันดีกับบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง “กฤษดามหานคร หรือ KMC” ก็เป็นที่คนในวงการให้ความสนใจ! เมื่อ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.ทุ่มเงินกว่า 855 ล้านบาท ซื้อหุ้นใหญ่ 2,500 ล้านหุ้น ตามติดด้วย นายนิรันดร์ เหตระกูล 550 ล้านหุ้น รวมมูลค่า 488.10 ล้านหุ้น

และที่ฮือฮา เมื่อ บริษัท วธน แคปปิตัล จำกัด (มหาชน) หรือ WAT มีมติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่นักลงทุนในวงจำกัด (PP) ทั้งหมด 11 ราย รวม 25,999,999,990 หุ้น ในราคา 0.036 บาท/หุ้น คิดเป็นวงเงินรวม 935,999,999.64 บาท โดยในจำนวน 11 รายนี้ มี “กลุ่มพุ่มพันธุ์ม่วง” ได้ไปมากที่สุดรวม 10,000,000,000 หุ้น แบ่งเป็น พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ในสัดส่วนมากที่สุดอันดับ 1 คือ 7,500,000,000 หุ้น มูลค่ารวม 270 ล้านบาท และ น.ส.ชมกมล พุ่มพันธุ์ม่วง ได้มากสุดอันดับที่ 3 จำนวน 2,500,000,000 หุ้น มูลค่า 90 ล้านบาท หลังการซื้อหุ้น ส่งผลให้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ถือหุ้น WAT ในสัดส่วน 14.20% และ น.ส.ชมกมล พุ่มพันธ์ม่วง สัดส่วน 4.73%

หรือแม้แต่ธุรกิจสื่อสาร กลุ่ม “พุ่มพันธุ์ม่วง” ได้เข้าไปมีบทบาทในกิจการ M LINK หลังผลักดันให้ลูกสาวเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 150 ล้าน

...นี่อาจจะเป็นก้าวแรกในตำแหน่ง ผบ.ตร.บนเส้นทางนักลงทุนบนธุรกิจ แต่ดูเหมือนว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังไม่หยุดนิ่ง จากนี้ไปคงต้องติดตามเป้าหมายใหม่!! จะใช่ธุรกิจในวงการสื่อสารมวลชนหรือไม่ อันนี้ต้องคอยดู!!

“พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผบ.ตร. กับการถือหุ้นในพอร์ตอสังหาฯ-สื่อสาร และ....!?

วกมาค่ายยักษ์ใหญ่ในวงการอสังหาฯ อีกรายบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PS หลังจาก เปิดจอง “พลัมคอนโด แหลมฉบัง” คอนโดมิเนียมโครงการแรกของบริษัทฯ ที่เปิดตัวตลาดต่างจังหวัด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ชีวิตติดสบาย เต็มสไตล์ความสุข” เมื่อปลายเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยกวาดยอดขายกว่า 70% และการสร้างปรากฏการณ์การเข้าคิวข้ามคืนเพื่อจองซื้อห้องชุด
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ Lifestyle ผู้พักอาศัย และผู้ที่ทำงานในแหลมฉบัง สร้างความสะดวกสบาย และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ครบ* รูปแบบ 1 ห้องนอน เริ่มต้นเพียง 1 ล้านต้นๆ รีบจับจองได้แล้ววันนี้

ช่วงใกล้สิ้นปีแบบถือเป็นช่วงเวลาดีๆ ที่ขยันจัดโปรโมชันแรงๆ เอาใจลูกค้ากันสุดๆ สำหรับค่ายอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่ “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ก็ยังลุยต่อเนื่อง ล่าสุด ผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “ชูรัชฎ์ ชาครกุล” สั่งลุยช่วงโค้งสุดทายของปี จัดโปรโมชันโดนๆ หวังเอาใจลูกคาที่กำลงมองหาบ้านพร้อมอยู่ ใกล้แหล่งคนาคมเดินทางสะดวก ภายใต้แบรนด์ “แลนซีโอ” “แลนซีโอ คริป” โครการทาวน์โฮม สุดคุ้ม “ไลโอ” และโครงการคอนโดมิเนียมสุดชิค “ลิปป์” และ “ลีโว” ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด มาจัดโปรโมชัน “LAST DEAL จัดใหญ่ส่งท้ายปี กับบ้านพร้อมอยู่ จองเพียง 5,000 บาท เข้าอยู่ทันที” โปรโมชันดีๆ แบบนี้ จัดเฉพาะวันที่ 13-21 ธันวาคม 2557 นี้เท่านั้น

เสร็จสิ้นกันไปแล้วสำหรับงานแสดงบ้านและคอนโดเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน DDproperty Show โดยมี ณพงศ์ ปานทอง Head fo Marketing รับหน้าที่ดูแลโครงการที่อยู่อาศัยทำเลเด่นรวมกว่า 20 โครงการ ที่ขนโปรโมชันเด่น ส่วนลดเต็มที่ หวังเร่งยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 57 ซึ่งงานครั้งนี้ถูกจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ The Fabulous Festival รวบรวมโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบ และแนวสูงทั้งในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น บางแสน พัทยา ชะอำ หัวหิน และภูเก็ต พร้อมใจส่งโปรโมชันพิเศษที่น่าสนใจมาเอาใจลูกค้ากันเต็มที่ ณ บริเวณลานกิจกรรม ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว
Read more ...

ผบ.ตร.กำชับป้ายบนป้อมจราจรผิด กม.ต้องรื้อทิ้งทั่วประเทศ

4/12/57
โดยผู้จัดการ เมื่อ 2 ธ.ค.2557

ผบ.ตร. มอบนโยบายด้านการจราจร แก้ปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีความเป็นระเบียบ และคลายความหนาแน่น โดยให้นำระบบควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยรีโมตคอนโทรลมาใช้แทน ตร. จราจร ย้ำป้ายบนป้อมจราจรที่ผิดกฎหมายให้รื้อทิ้ง โดยเฉพาะป้ายที่ใช้ไฟหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต

วันนี้ (2 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายด้านการจราจร พร้อมด้วย พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พล.ต.ท.สุวิระ ทรงเมตตา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม เพื่อการแก้ปัญหาการจราจรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ให้มีความเป็นระเบียบและคลายความหนาแน่นลง และมีโครงการจะใช้การควบคุมสัญญาณไฟจราจรด้วยรีโมตคอนโทรล เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถไปยืนประจำแยกโดยไม่ต้องกดสัญญาณไฟด้วยตนเองอีก รวมถึงการทำป้อมตำรวจให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศด้วย

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวภายหลังการประชุม ว่า วันนี้ได้เชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระดับผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลงานด้านการจราจรภายในกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑลมาพูดคุยกัน เพื่อหาวิธีการที่จะแก้ปัญหาการจราจร และทำให้การจราจรในเขต กทม. ลดความหนาแน่นลงบ้าง โดยการประชุมมีข้อสรุปในการแก้ปัญหา ดังนี้ 1. ให้ลดกำลังเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนลง ซึ่งเดิมมีหมู่ละ 10 นาย ให้ลดเหลือ 8 นาย คือ การถอนกำลังลง 2 นาย ที่โดนตัดกำลังคือเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ซึ่งในอดีตถูกสั่งการให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนของแต่ละกองบัญชาการให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรดังเดิม 2. มอบหมายให้รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) ซึ่งรับผิดชอบงานด้านจราจร สำรวจว่ามีแยกใด หรือจุดใดที่สามารถนำอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือมาช่วยในการควบคุมสัญญาณไฟ หรือ การควบคุมสัญญาณไฟด้วยรีโมตคอนโทรล ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ยืนยันว่าสามารถใช้การได้ดี และช่วยให้การควบคุมสัญญาณไฟตามแยกต่างๆ มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรไม่ต้องมากดสัญญาณไฟเอง สามารถไปประจำจุดอยู่ตามแยก เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่จริง และ 3. กรณีที่มีการสั่งการให้ บก.02 จะต้องส่งผู้บังคับการทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้ง ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม หมุนเวียนกันมาประจำ บก.02 เพื่อสั่งการแก้ปัญหาการจราจรให้ได้ประสิทธิภาพ มี พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษา (สบ10) ดูแลงานด้านจราจร เป็นผู้สั่งการเรียบร้อยแล้ว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังผู้ที่รับผิดชอบป้อมตำรวจต่างๆ ว่า จะมีการทำป้อมตำรวจให้ถูกต้องตามกฎหมาย ป้ายต่างๆ ที่ผิดกฎหมายให้รื้อทิ้ง โดยเฉพาะป้ายที่ใช้ไฟหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ดำเนินคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย ส่วนป้อมต่างๆ นั้น ในขณะนี้ได้สั่งให้มีการออกแบบเพื่อให้ป้อมตำรวจทั่วประเทศมีรูปแบบเดียวกันเตรียมการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน โดยป้อมตำรวจจะต้องมีสัญลักษณ์ หรือภาษาที่บอกได้ถึงความเป็นสากล ทำให้เข้าใจได้ว่านี่คือป้อมตำรวจ ซึ่งได้สั่งให้มีการออกแบบเป็นสามลักษณะขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่ ทั้งนี้ จะมีการทำให้ป้อมทุกป้อม ขึ้นทะเบียนกับกรมธนารักษ์ ราชพัสดุ คือทำให้ถูกกฎหมายและตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง
Read more ...