สตช.จับมือ ยธ.เปิดโครงการ 1 ตำรวจ 1 ร.ร.แก้ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา

17/5/58
โดยผู้จัดการ เมื่อ 15 พ.ค.2558

สตช.ร่วมกับ ยธ.ผุดโครงการ 1 ตำรวจ 1 โรงเรียนแก้ปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา หวังตัดกลุ่มเป้าหมายของนักค้ายาเสพติด ระบุมี 1,447 โรงพัก และ 1,000 โรงเรียนร่วมโครงการ จ่อขยายโครงการครอบคลุม 30,000 โรงเรียน

วันนี้ (15 พ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดแห่งชาติ และ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินโครงการตำรวจประสานโรงเรียนแก่หัวหน้าส่วนราชการและผู้ปฏิบัติงานในโครงการทั่วประเทศ โดยมี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. และตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม อาทิ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกรุงเทพมหานคร เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครอง กองบังคับการตำรวจนครบาล 1-9 และโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครที่เข้าร่วมโครงการ เป็นต้น

พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมโครงการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือโครงการตำรวจประสานโรงเรียน หรือ 1 เจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 โรงเรียน มีสถานีตำรวจภูธร 1,447 แห่ง และมีโรงเรียน 1,000 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการ มีสถาบันของกระทรวงศึกษาธิการแสดงความเห็นอยากให้ขยายไปในหลายๆโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำได้ โดยโครงการนี้เป็นโครงการที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด โดยแบ่งการทำงานเป็น 3 งาน คือ งานปราบปราม การบังคับใช้กฎหมาย และการฟื้นฟู ส่วนการประชุมในครั้งนี้เป็นเรื่องของการป้องกันและการสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งเน้นไปยังบุคคล 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเยาวชน กลุ่มแรงงาน และกลุ่มประชาชนทั่วไป สำหรับกลุ่มเยาวชนจะเป็นหน้าที่รับผิดชอบของกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นการพัฒนาความร่วมมือการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดไปอีกขั้นหนึ่ง นอกจากนี้ ในอนาคตจะขยายการดูแลไปยังระดับอุดมศึกษา รอบสถานที่ศึกษาต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด สิ่งอบายมุข การจัดระเบียบต่างๆซึ่งเกี่ยวเนื่องกับเรื่องการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด

“แม้ที่ผ่านมารัฐบาลจะให้ความสำคัญและเน้นการทำงานในด้านนี้ คือการให้ความเข้มข้นในการจัดการ เพียงแต่ที่ผ่านมาประชาชนอาจยังไม่เห็นการบูรณาการร่วมกันที่ชัดเจน และให้ค่ากับการบังคับใช้กฎหมายการจับยาเสพติด ในความจริงแล้วการทำงานป้องกันและปราบปรามการค้ายาเสพติดต้องทำพร้อมกันทั้ง 3 ระบบ อย่างไรก็ตาม ปัญหาในการฟื้นฟูและการบำบัด รวมถึงศูนย์บำบัด วิทยากร นั้น เรากำลังเร่งจัดการ ทั้งนี้ในการจัดตั้งโครงการดังกล่าวเพื่อต้องการตัดกลุ่มเป้าหมายของนักค้ายาเสพติด เพราะถ้าเราตัดตรงส่วนนี้ได้การป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะได้ผลมากขึ้น” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว

รมว.กระทรวงยุติธรรมกล่าวอีกว่า โครงการนี้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย ต่อ 1 โรงเรียนเข้าไปดูแล ให้ความรู้แก่นักเรียนในสถานศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ ส่วนจะขยายโครงการให้ครบ 30,000 โรงเรียนนั้น ตนได้มีการพูดคุยกับกับฝ่ายปกครองกระทรวงมหาดไทยแล้วว่าสามารถทำได้หรือไม่ โดยในวันที่ 4 มิ.ย.นี้จะมีการประชุมร่วมกับกระทรวงแรงงาน ประชาชนทั่วไป และสถานศึกษา อาชีวะศึกษา ในเรื่องระบบการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดว่าจะสามารถเข้าไปทำโครงการนี้ในโรงเรียนสถานศึกษาได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ โดยในระดับประถมศึกษา สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้จัดตำรวจครูแดร์เข้าไปสอนให้ความรู้เรื่องยาเสพติด และการรู้จักปฏิเสธยาเสพติดให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งนี้ จากการประสานงานระหว่างหน่วยงาน พบว่าเด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษาบางคน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด บางโรงเรียนแก้ปัญหาได้เอง บางโรงเรียนก็เกินขีดความสามารถของครูที่รับผิดชอบ

“การแก้ไขปัญหายาเสพติดจำเป็นต้องดำเนินการให้ครอบคลุม ทั้งในมิติการป้องกัน ปราบปราม และการบำบัดรักษาควบคู่กันไป โดยมีรายงานว่าบางโรงเรียนครูที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังก็ถูกคุกคามจากกลุ่มผู้ค้าหรือผู้มีอิทธิพล ดังนั้น เพื่อที่จะรองรับและแก้ไขปัญหาดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย กรุงเทพมหานคร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินกิจกรรมโครงการตำรวจประสานโรงเรียน 1 ตำรวจ 1 โรงเรียน โดยเริ่มดำเนินการในภาคการศึกษาที่ 1/2558 หรือตั้งแต่พฤษภาคม-สิงหาคม 2558 ในทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศแล้ว” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
Read more ...

ต่อ 191 ไม่ติด บช.น.คิดแอปฯ POLICE I LERT U แจ้งเหตุด่วนเหตุร้าย เปิดโหลดสิ้นเดือนนี้

13/5/58

12 พฤษภาคม 2558 14:39 น.

ASTV ผู้จัดการ - ตำรวจนครบาลออกแอปฯ POLICE I LERT U แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายผ่านแอปพลิเคชันในเขต กทม. เผยเป็นช่องทางบริการประชาชนอีกหนึ่งทาง หลัง 191 กระหน่ำโทร.ไม่ว่างวันละ 7-8 พันครั้ง แต่ 90% สอบถามเส้นทาง และแกล้งโทร.ที่ไม่ใช่เหตุด่วนเหตุร้าย เปิดให้โหลดได้สิ้นเดือนนี้

วันนี้ (12 พ.ค.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) 

พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูต รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) 

เปิดเผยถึงโครงการรับแจ้งเหตุด่วน-เหตุร้าย ผ่านแอปพลิเคชัน POLICE I LERT U ว่า ในปัจจุบันการแจ้งเหตุด่วน-เหตุร้าย-เหตุฉุกเฉินใน กทม.ซึ่งเป็นพื้นที่ความรับผิดชอบของกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) โดยใช้ระบบการแจ้งเหตุผ่านทางหมายเลข “191” ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์รวมข่าวกองบังคับการตำรวจสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ (กก.ศร.บก.สปพ.) ไม่ว่าประชาชนจะได้รับความเดือดร้อน หรือประสบอุบัติเหตุ เช่น งูเข้าบ้าน, รถจอดขวางหน้าบ้าน, ไฟไหม้, ลักทรัพย์, วิ่งราวทรัพย์, ชิงทรัพย์, ปล้นทรัพย์, ทะเลาะวิวาท และฆาตกรรม เป็นต้น ก็จะต้องทำการชี้แจงรายละเอียดพฤกติการณ์ สถานที่ที่เกิดเหตุให้กับเจ้าหน้าที่ จากนั้นทาง 191 จะประสานข้อมูลไปยังกองบังคับการตำรวจ 1-9 และกองบังคับการจะส่งต่อข้อมูลให้เจ้าหน้าที่สายตรวจในพื้นที่นั้นๆ ซึ่งในขั้นตอนทั้งหมดนี้อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะที่ผ่านมามีประชาชนที่ติดต่อไปยังหมายเลข 191 วันละประมาณ 7,000-8,000 ครั้ง โดยร้อยละ 90 จะเป็นการสอบถามเส้นทาง และการแกล้งแจ้งเหตุที่ไม่ใช่เหตุด่วนเหตุร้ายซึ่งอาจจะทำให้ผู้ที่ประสบเหตุด่วน-เหตุร้ายติดต่อเข้ามาไม่ได้ หรืออาจจะต้องรอสายเป็นเวลานาน ทางเจ้าหน้าที่จึงคิดค้นแอปพลิเคชันที่จะช่วยเหลือประชาชนในการแจ้งเหตุด่วน-เหตุร้ายต่างๆ แจ้งไปยังกองกำกับการศูนย์รวมข่าว (ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า), ศูนย์วิทยุกองบังคับการ, ศูนย์วิทยุสถานีตำรวจ และเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจในเวลาเดียวกัน เช่นกรณีที่ประชาชนถูกชิงทรัพย์และทำร้ายร่างกาย อาจจะเกิดอาการวิตก ตกใจกลัว จนไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ก็สามารถกดแอปพลิเคชัน POLICE I LERT U ในโทรศัพท์มือถือเพื่อแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ให้มาตรวจสอบที่เกิดเหตุได้ทันที

พล.ต.ต.ฉันทวิทย์กล่าวอีกว่า ในโครงการดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายการปรามปรามอาชญากรรมของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ที่เป็นการยกระดับมาตฐานการรักษาความปลอดสงบเรียบร้อย และการป้องกันอาชญากรรมขั้นพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชน โดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบงานสายตรวจให้มีความพร้อมในการระงับเหตุ และเพิ่มความถี่การตรวจในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ

อย่าไรก็ตาม สิ้นเดือนพฤษภาคมจะเริ่มให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปพลิเคชันPOLICE I LERT U (แอปพลิเคชันช่วยชีวิตแจ้งเหตุด่วน-เหตุร้าย) ในระบบไอโอเอส และแอนดรอยด์ เมื่อโหลดมาให้กรอกข้อมูลของเจ้าของเครื่องนั้นๆ และเปิดแชร์ตำแหน่ง หรือเปิดจีพีเอส (GPS) โดยจะใช้ระบบนี้ควบคู่กับหมายเลข 191 ในกรณีที่ประชาชนประสบปัญหา หรือเหตุฉุกเฉินแล้วไม่สามารถติดต่อที่หมายเลข 191ได้ ก็สามารถใช้แอปพลิเคชันนี้ซึ่งจะติดต่อกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในพื้นที่นั้นๆ โดยตรง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เจ้าหน้าที่สามารถไปถึงที่เกิดเหตุได้เร็วที่สุด
Read more ...